Home คู่มือ iPhone เปรียบเทียบ iPhone 12 Pro vs iPhone 12 Pro MAX เลือกซื้ออันไหนดี

เปรียบเทียบ iPhone 12 Pro vs iPhone 12 Pro MAX เลือกซื้ออันไหนดี

เปิดตัวไปแล้วสำหรับไอโฟน 12 ทั้งสี่รุ่นที่ทั้งสวยทั้งแรง และหน้าจอทนกว่าเดิมอีก ซึ่งออกมาพร้อมกันอย่างงี้ก็ทำให้หลายคนก็คงเกิดความลังเลว่าจะซื้อรุ่นไหนดี เพราะราคามือถือไอโฟนก็แพงใช่ย่อย จะซื้อให้คุ้มไม่เสียใจ

วันนี้ GoodTipIT จะมาสรุปสเป็คทั้ง iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro MAX ว่ามันต่างกันตรงไหนบ้าง เพื่อจะได้เป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อได้ โดยเฉพาะคนที่จะเลือกซื้อรุ่น Pro ที่มีขนาดตัวเครื่องและหน้าจอต่างกัน แต่สเป็คตัวเครื่องก็ไม่ต่างกันมากนัก

iPhone 12 Pro กับ 12 Pro Max ต่างกันยังไง

ขนาดหน้าจอ
  • iPhone 12 Pro ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซลที่ 460 ppi
  • iPhone 12 Pro MAX ขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซลที่ 458 ppi

ทั้งสองรุ่นใช้จอ OLED Super Retina XDR อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 การแสดงผลแบบ True Tone พร้อมความสว่างสูงสุด 800 นิต และความสว่างสูงสุด 1,200 นิต (HDR)

iphone 12 pro กับ 12 pro max ต่างกันยังไง

 

ขนาดตัวเครื่อง และน้ำหนัก
  • iPhone 12 Pro ตัวเครื่องขนาด 146.7 x 71.5 x 7.4 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 187 กรัม 
  • iPhone 12 Pro MAX ตัวเครื่องขนาด 160.8 x 78.1 x 7.4 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 226 กรัม

ทั้งสองรุ่นดีไซน์ทรงของเหลี่ยมขอบตัวเครื่องจะทำมาจาก Stainless Steel แบบเงางามเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม ดีไซน์ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ทนต่อการตกกระแทกได้ดีขึ้น 4 เท่าเช่นกัน

สเปคกล้องหลังงาน

กล้องหลัง iPhone 12 Pro:

 

อัลตร้าไวด์: รูรับแสงขนาด ƒ/2.4

กล้องไวด์: รูรับแสงขนาด f/1.626mm

เทเลโฟโต้: รูรับแสงขนาด ƒ/2.0, 52mm 

ซูมเข้าแบบออปติคอล 2 เท่า, ซูมออกแบบออปติคอล 2 เท่า และช่วงซูมแบบออปติคอล 4 เท่า

ซูมดิจิตอลได้สูงสุด 10 เท่า

กล้องหลัง iPhone 12 Pro MAX:

อัลตร้าไวด์: รูรับแสงขนาด ƒ/2.4

กล้องไวด์: รูรับแสงขนาด f/1.626mm

เทเลโฟโต้: รูรับแสงขนาด ƒ/2.2, 65mm

ซูมเข้าแบบออปติคอล 2.5 เท่า, ซูมออกแบบออปติคอล 2 เท่า และช่วงซูมแบบออปติคอล 5 เท่า

ซูมดิจิตอลได้สูงสุด 12 เท่า

**ระบบกันสั่นแบบ Sensor-shift เซนเซอร์จะเป็นตัวขยับเพื่อชดเชยการสั่นไหว แทนที่จะเป็นชิ้นเลนส์ที่ขยับเหมือนกับรุ่น iPhone 12 Pro

ทั้งไอโฟนทั้งสองรุ่นมี 3 ตัว แต่ละตัวกล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีตัวสแกน LiDAR ที่ช่วยถ่ายโหมดกลางคืนดีขึ้น, สามารถถ่ายพาโนรามา (สูงสุด 63MP), มี Deep Fusion, มีแฟลช True Tone ที่สว่างยิ่งขึ้นพร้อมคุณสมบัติสโลว์ซิงค์ มีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Apple ProRAW ฯลฯ

 

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ทาง apple ณ ตอนนี้ยังไม่บอกความจุที่แน่นอน แต่บอกเป็นการทำงานของแต่กิจกรรมแทน โดยมีดังนี้

กล้องหลัง iPhone 12 Pro:

การเล่นวิดีโอ:
สูงสุด 17 ชั่วโมง

การเล่นวิดีโอ (ผ่านการสตรีม):
สูงสุด 11 ชั่วโมง

การเล่นเสียง:
สูงสุด 65 ชั่วโม

กล้องหลัง iPhone 12 Pro MAX:

การเล่นวิดีโอ:
สูงสุด 20 ชั่วโมง

การเล่นวิดีโอ (ผ่านการสตรีม):
สูงสุด 12 ชั่วโมง

การเล่นเสียง:
สูงสุด 80 ชั่วโมง

แบตเตอรี่ทั้งคู่จะใช้เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ตัวเครื่องสามารถชาร์จแบบไร้สายในแบบ MagSafe คือ เป็นระบบชาร์จที่ใช้หัวชาร์จแบบแม่เหล็กดูดติดกับตัวเครื่องด้านหลัง

ซึ่งส่งไฟสูงสุด 7.5  วัตต์ และชาร์จแบบไร้สายในแบบ Qi แบบวางชาร์จธรรมดาส่งไฟสูงสุด 15 วัตต์ และชาร์จด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20 วัตต์ชาร์จได้สูงสุด 50% ในเวลาประมาณ 30 นาที

 

ราคา

ราคาในไทยยังไม่ออกมาเป็นทางการ แต่จะเห็นราคาจากต่างประเทศเราก็จะพอประมาณราคาได้คือ

iPhone 12 Pro(128/256/512GB) :

128GB ราคา 999 ดอลลาร์

256GB ราคา 1,099 ดอลลาร์

512 GB ราคา 1,299 ดอลลาร์

iPhone 12 Pro MAX(128/256/512GB) :

128GB ราคา 1,099 ดอลลาร์

256GB ราคา 1,199 ดอลลาร์

512 GB ราคา 1,399 ดอลลาร์

 

สรุป

ใครที่อยากได้มือถือจอใหญ่สเป็คแบบจัดเต็มก็ต้องรอซื้อ iPhone 12 Pro Max แต่ถ้าใครไม่ชอบจอใหญ่ชอบพกพาสะดวกหน่อย ก็คงต้องเลือก iPhone 12 Pro แต่สเป็คเครื่องอาจจะไม่สุด

โดยจะไม่มีอย่าง Sensor-shift เซนเซอร์จะเป็นตัวขยับเพื่อชดเชยการสั่นไหว, เทเลโฟโต้: รูรับแสงขนาด ƒ/2.2, 65mm, แบตที่เล็กกว่านิดหน่อย

 

เมื่อซื้อไอโฟนแล้ว จะซื้อประกันจาก Apple ด้วยเลยดีไหม มาทำความรู้จัก “AppleCare+ กับ AppleCare คืออะไร?” แล้วถ้าจะซื้อ iPhone ใหม่ควรซื้อไว้เลยไหม? คลิกที่นี่

 

 

 

บทความน่าสนใจ

 

Exit mobile version